Present Simple Tense ก็คือ ปัจจุบันกาลแบบเรียบง่าย เป็นเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมีโครงสร้างของประโยค
ดังนี้
หมายเหตุ
*.. ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He,
She, It, Jane) กริยาจะต้องเติม s, es หรือ ies
โดยมีหลักดังนี้
· คำกริยาทั่วๆไปเติม
s
เช่น drink-drinks, forget-forgets, steal-steals,
take-takes
· คำกริยาที่ลงท้ายด้วย
o,
s, x, z, ss, sh และ ch ให้เติม es เช่น go-goes, wash-washes, watch-watches, miss-misses
· คำกริยาที่ลงท้ายด้วย
y
มี 2 กรณีคือ
o
ถ้าหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i เติม es เช่น cry-cries, study-studies, try-tries,
fly-flies
o
ถ้าหน้า y เป็นสระ เติม s เช่น play-plays, buy-buys,
enjoy-enjoys
หลักการใช้ Present
Simple Tense มีดังนี้ คือ
1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เป็นความจริงหรือข้อเท็จจริงโดยทั่วๆไป
หรือความจริงตามธรรมชาติ
· She
goes to work by bus. (เธอไปทำงานโดยรถประจำทาง)
· I
am an English teacher. (ฉันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ)
· She
is beautiful. (เธอสวย, เธอเป็นคนสวย)
· My
dogs eat Pedigree. (สุนัขของฉันกินเพดดิกรี)
· The
earth moves around the sun. (โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์)
· The
sun sets in the west and rises in the east. (พระอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกและขึ้นทางทิศตะวันออก)
· Water
becomes ice at 0 degrees Celsius and boils at 100 degrees Celsius. (น้ำกลายเป็นน้ำแข็งที่ 0 องศาเซลเซียสและเดือดที่ 100
องศาเซลเชียส
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำหรือเป็นกิจวัตร
รวมถึงนิสัย
· He
watches television every night. (เขาดูโทรทัศน์ทุกคืน)
· Students
drink milk every day. (นักเรียนดื่มนมทุกวัน)
· Jim
always play guitar. (จิมเล่นกีร์ต้าเสมอๆ)
· My
father often drops me at school. (พ่อไปส่งฉันที่โรงเรียนบ่อยๆ)
หมายเหตุ *..
Adverbs of frequency กริยาวิเศษณ์บอกความถี่ (always, often, sometimes, never, hardly) มักจะใช้คู่กับ Present
Simple Tense
3. ใช้ในการแสดงความคิดเห็นหรือความชอบ
· We
love our school. (เรารักโรงเรียนของเรา)
· Jack
likes Thai food. (แจคชอบอาหารไทย)
· I
hate snakes. (ฉันเกลียดงู)
4. ใช้กล่าวถึงตารางเวลาต่างๆ
· Train
arrives at the train station every 1 hour. (รถไฟมาถึงสถานีรถไฟทุกๆ
1 ชั่วโมง)
· The
bank opens at 8.30 am. and closes at 16.30 pm. (ธนาคารเปิดทำการเวลา
8.30 น. และปิดทำการเวลา 16.30 น.)
เมื่อเราต้องการทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถามหรือปฏิเสธ
ในกรณีที่ประโยคมี Verb แท้ เราจะต้องนำ Verb
to do มาช่วย
โดยในประโยคคำถามนั้น Do/Does
อยู่หน้าประธาน ใช้ขึ้นต้นประโยค
Do ใช้กับประธานพหูพจน์ (they,
we, Jim and Jack, dogs)
Does ใช้กับประธานเอกพจน์ (he,
she, it, Nick, cat)
· Do
they work at your company? (พวกเขาทำงานที่บริษัทคุณหรือเปล่า)
· Dose
Jane lives in Bangkok? (เจนอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯหรือเปล่า)
ส่วนประโยคปฏิเสธ do/does + not (don’t/doesn’t) อยู่หลังประธาน
· They
do not work at my company. (พวกเขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทฉัน)
· Jane
doesn’t live in Bangkok. (เจนไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ)
หมายเหตุ *..
Verb1 ในประโยคคำถามและปฏิเสธนั้น จะต้องไม่ผันตาม Tenses หรือตามประธาน คือ ไม่เติม s, es, ies, ing หรือ V2,
V3
เพราะในประโยคมี do/dose ผันตามประธานหรือ Tenses อยู่แล้ว
ดังนั้น Verb1 จะต้องเป็น Verb ที่ไม่เติมอะไรทั้งนั้น
เพราะในประโยคมี do/dose ผันตามประธานหรือ Tenses อยู่แล้ว
ดังนั้น Verb1 จะต้องเป็น Verb ที่ไม่เติมอะไรทั้งนั้น
แต่ถ้าประโยคคำถามหรือปฏิเสธนั้นมีกริยาแท้เป็น
verb
to be (is, am, are) ไม่ต้องใช้
do/does มาช่วย ใช้ verb to be (is, am, are) ได้เลย
is ใช้กับประธานเอกพจน์ (he, she, it, Nai)
am ใช้กับ I
are ใช้กับประธานพหูพนจ์ (we,
they, birds)
รูปแบบอย่างย่อ is not/isn’t และ are not/aren’t
โครงสร้างประโยคคำถาม
· Are
you at home? (คุณอยู่บ้านมั้ย)
· Is
she beautiful? (เธอสวยมั้ย)
โครงสร้างประโยคปฏิเสธ
· I
am not at home. (ฉันไม่ได้อยู่บ้าน)
· She
isn't beautiful. (เธอไม่สวย)
บทต่อไป
ReplyDelete