Total Pageviews

Sponsored Ads

Friday 6 December 2019

Verbs คำกริยาคู่กับคำนาม Nouns ที่ใช้กันบ่อยๆ


ในภาษาอังกฤษ มักจะนำคำนาม (Nouns) คำกริยา (Verbs) คำคุณศัพท์ (Adjective) คำบุพบท (Prepositions) มาใช้ร่วมกัน ซึ่งเราเรียกกลุ่มคำที่ใช้ร่วมกันนี้ว่า Collocation  คำปรากฏร่วม เป็นการเชื่อมคำหรือกลุ่มคำ วลี (Phrase) รวมทั้งสำนวน (Idiom) ที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันในประโยค  ซึ่งคำที่ใช้ร่วมกันนี้ ได้กำหนดไว้แน่ชัดว่าจะใช้คู่กับคำอะไร จะใช้คำอื่นแทนหรือสลับตำแหน่งกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าคำที่จะใช้แทนนั้น จะมีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันก็ตาม

ทีนี้.. มาดูกันว่า ถ้าเรานำคำกริยา (Verbs) มาใช้คู่กับคำนาม (Nouns) จะมีคำอะไรบ้าง..? ที่ใช้กันบ่อยๆ 


ตัวอย่างเช่น
  • I’ll do my best. (ผมจะทำให้ดีที่สุด)
  • We don’t do business unless I know you. (เราไม่ทำธุรกิจอะไรกัน เว้นแต่ผมรู้จักคุณ)
  • You have to go online.  (คุณต้องเปิดเน็ตดู)
  • Did you get permission to park here. (คุณได้รับอนุญาตให้จอดที่นี่แล้วหรือยัง)
  • You’ll catch a cold. (คุณจะเป็นหวัดนะ)
  • I can catch a bus from here. (ฉันสามารถขึ้นรถบัสได้จากที่นี่)
  • He’ll take a chance. (เขาจะลองเสี่ยงดู)
  • You have to take a break. (คุณต้องหยุดพักแล้วหล่ะ)


ตัวอย่างเช่น
  • Let’s have a drink, shall we? (เราไปดื่มกันมั้ย)
  • We still have a problem. (เรายังคงมีปัญหา)
  • It’s not good to break a promise. (มันไม่ดีที่จะผิดสัญญา)
  • Break a leg! I believe you can do it. (ขอให้โชคดีนะ ผมเชื่อว่าคุณสามารถทำได้)
  • Pay attention to what he says. (ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด)
  • I must pay a visit to my sister this week. (ผมต้องไปเยี่ยมน้องสาวอาทิตย์นี้)
  • He was stupid to make a mistake like that. (เขาโง่ที่ทำผิดแบบนั้น)
  • Make room for the baggage. (หาที่ว่างสำหรับสัมภาระ)
  • She can never keep a secret. (เธอไม่สามารถเก็บความลับได้)

นี่คือ ตัวอย่างคำกริยา Verbs คู่กับคำนาม (Nouns) ที่นำมาใช้ร่วมกัน กลายเป็นคำปรากฎร่วม Collocation บางส่วน ซึ่งมีอยู่จำนวนมากมายหลายคำ เราจะต้องพยายามจดจำให้ได้  ว่าคำไหนใช้คู่กับคำอะไร มีความหมายเช่นไร จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง.. 






Thursday 5 December 2019

Collocation คือ..? กลุ่มคำที่ใช้ร่วมกัน มีอะไรบ้าง..?


Collocation คำปรากฏร่วม ก็คือ กลุ่มคำที่ใช้ร่วมกัน เป็นการเชื่อมคำหรือกลุ่มคำ วลี (Phrase) รวมทั้งสำนวน (Idiom) ที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันในประโยค ซึ่งคำที่ใช้ร่วมกันนี้ ได้กำหนดไว้แน่ชัดว่าจะใช้คู่กับคำอะไร จะใช้คำอื่นแทนหรือสลับตำแหน่งกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าคำที่จะใช้แทนนั้น จะมีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันก็ตาม

ตามที่เราเรียนรู้กันมาว่า ประโยคในภาษาอังกฤษนั้น ประกอบด้วย
  • ประธาน (Subject)
  • กริยา (Verb)
  • กรรม (Object)

แต่จริงแล้ว ยังมีองค์ประกอบสำคัญในการแต่งประโยคภาษาอังกฤษให้ได้มาตรฐานอีก 3 ส่วน คือ
  • คำศัพท์ (Vocabulary)
  • ไวยากรณ์ (Grammar)
  • คำปรากฏร่วม (Collocation)

คำศัพท์ (Vocabulary) ในภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นกลุ่มคำ Collocation ไม่ได้นำคำศัพท์แต่ละคำมาเรียงต่อกันเหมือนภาษาไทย ดังนั้น เมื่อเราต้องแต่งประโยคภาษาอังกฤษ เรามักจะแปลตรงตัวจากไทยเป็นอังกฤษ หรือใช้ Collocation ผิด ทำให้ความหมายผิดไป เช่น
  • I go to school. ไม่ใช่ I go school.
  • I go home. ไม่ใช่ I go to home.
  • Jim takes medicine. (จิมกินยา)
  • Jim takes drug. (จิมติดยา) ยาเสพติด
  • He passed by. (เขาผ่านไป)
  • He passed away. (เขาเสียชีวิต)

ทีนี้.. มาดูกันต่อว่า Collocation นั้น มีอะไรบ้าง..? ที่พบเห็นและใช้กันบ่อยๆ


Collocation คำปรากฏร่วม ยกตัวอย่างเช่น
คำปรากฎร่วม Collocation นี้ ไม่เกี่ยวกับหลักไวยากรณ์  เป็นเพียงการนำคำตั้งแต่ 2 คำมาใช้ร่วมกัน เพื่อให้เกิดความหมายที่สละสลวย ถึงแม้ว่าจะวางสลับตำแหน่ง หรือใช้คำไม่ถูก ก็ถือว่าไม่ผิดหลักไวยากรณ์แต่อย่างใด เพียงแต่ฟังแล้วไม่รื่นหู ทำให้เจ้าของภาษาหรือผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษทราบได้ว่า ผู้พูดเป็นคนต่างชาติและใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้มาตรฐานเท่านั้นเอง..






Wednesday 4 December 2019

Adjective คำคุณศัพท์คู่กับคำบุพบท Prepositions ที่ใช้กันบ่อยๆ


ในภาษาอังกฤษ มักจะนำคำนาม (Nouns) คำกริยา (Verbs) หรือคำคุณศัพท์ (Adjective) มาใช้คู่กับคำบุพบท (Prepositions) ซึ่งเราเรียกกลุ่มคำที่ใช้ร่วมกันนี้ว่า Collocation

ทีนี้.. มาดูกันว่า คำกริยา (Verbs) คู่กับบุพบท (Prepositions) ที่ใช้กันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง..?

ตัวอย่างเช่น
  • She is clever at making excuses. (เธอฉลาดในการแก้ตัว)
  • He’s brilliant at football.  (เขายอดเยี่ยมในเรื่องฟุตบอล)
  • Jane’s jealous of my success.  (เจนอิจฉาความสำเร็จของผม)
  • Paul’s bookshelf is full of books.  (ชั้นหนังสือของพอลเต็มไปด้วยหนังสือ)
  • I was amazed by what she told me.  (ฉันอัศจรรย์ใจกับสิ่งที่เธอบอกฉัน)
  • We were shocked by the news.  (เรารู้สึกตกใจกับข่าว)
  • We are free from danger.  (เราปลอดภัยจากอันตราย)
  • He is often absent from school.  (เขามักจะขาดเรียน)
  • He is interested in history.  (เขาสนใจในประวัติศาสตร์)
  • I’m disappointed in you.  (ผมผิดหวังในตัวคุณ)
  • All the kids are keen on swimming.  (เด็กทุกคนกระตือรือร้นในการว่ายน้้ำ)
  • He’s hooked on nicotine.  (เขาติดนิโคติน)

นี่คือ ตัวอย่างคำคุณศัพท์  Adjectives คู่กับคำบุพบท Prepositions ที่พบและใช้กันบ่อยๆ ซึ่งคำคุณศัพท์บางคำสามารถใช้ร่วมกับคำบุพบทได้หลายตัว และคำคุณศัพท์บางคำก็ใช้กับคำบุพบทได้เพียงตัวเดียว (คำบุพบทเฉพาะ) เพราะฉะนั้น ก็ต้องพยายามศึกษาเพิ่มเติมจากพจนานุกรม dictionary ซึ่งได้ระบุอธิบายไว้ และพยายามสังเกตจดจำให้ได้ จะได้ใช้ได้อย่างถูกต้อง






Tuesday 3 December 2019

Nouns คำนามคู่กับคำบุพบท Prepositions ที่ใช้กันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง..?

ในภาษาอังกฤษ มักจะนำคำนาม (Nouns) คำกริยา (Verbs) หรือคำคุณศัพท์ (Adjective) มาใช้คู่กับคำบุพบท (Prepositions) ซึ่งเราเรียกกลุ่มคำที่ใช้ร่วมกันนี้ว่า Collocation
ทีนี้.. มาดูกันว่า คำนาม (์Nouns) คู่กับบุพบท (Prepositions) ที่ใช้กันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง..?
ตัวอย่าง เช่น
  • Success in life in my goal. (ความสำเร็จในชีวิตคือเป้าหมายของผม)
  • Jane has little experience in driving.  (เจนมีประสบการณ์ในการขับรถเพียงเล็กน้อย)
  • I have concerns about my business. (ผมมีความกังวลเกี่ยวกับธุรกิจของผม)
  • They are in agreement on that matter. (พวกเขาเห็นด้วยกับเรื่องนั้น)
  • Any information on his nephew? (มีข้อมูลเกี่ยวกับหลานชายของเขามั้ย)
  • John has good control over his class.  (จอห์นควบคุมชั้นเรียนของเขาได้ดี)
  • This company made a great contribution to research into cancer. (บริษัทนี้ให้เงินช่วยเหลือเป็นอย่างมากในการวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็ง)
  • The relationship between a mother and a son.  (ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกชาย)
  • The transition from farm life to city life is often difficult. (การเปลี่ยนจากชีวิตในฟาร์มไปสู่ชีวิตในเมืองมักเป็นเรื่องยาก)

นี่คือ ตัวอย่างคำนาม Nouns คู่กับคำบุพบท Prepositions ที่พบและใช้กันบ่อยๆ ซึ่งคำนามบางคำสามารถใช้ร่วมกับคำบุพบทได้หลายตัว และคำนามบางคำก็ใช้กับคำบุพบทได้เพียงตัวเดียว (คำบุพบทเฉพาะ) เพราะฉะนั้น ก็ต้องพยายามศึกษาเพิ่มเติมจากพจนานุกรม dictionary ซึ่งได้ระบุอธิบายไว้ และจะต้องพยายามสังเกตจดจำให้ได้ เพื่อที่จะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง









Friday 29 November 2019

Verbs คำกริยาคู่กับคำบุพบท Prepositions ที่ใช้กันบ่อยๆ


ในภาษาอังกฤษ มักจะนำคำนาม (Nouns) คำกริยา (Verbs) หรือคำคุณศัพท์ (Adjective) มาใช้คู่กับคำบุพบท (Prepositions) ซึ่งเราเรียกกลุ่มคำที่ใช้ร่วมกันนี้ว่า Collocation
ทีนี้.. มาดูกันว่า คำกริยา (Verbs) คู่กับบุพบท (Prepositions) ที่ใช้กันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง..?

ตัวอย่าง เช่น
  • He apologized for coming late. (เขาขอโทษที่มาสาย)
  • I’ll prepare for my interview tomorrow. (ผมจะเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์พรุ่งนี้)
  • Nothing belongs to me. (ไม่มีอะไรเป็นของผม)
  • Listen to me, will you? (ฟังผมหน่อยได้มั้ย)
  • Jane comes from a talented family. (เจนมาจากครอบครัวที่มีพรสวรรค์)
  • Whenever I go abroad, I suffer from jet lag. (เมื่อใดก็ตามที่ผมไปต่างประเทศ  ผมต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการเจ็ตแล็ก)
  • I always dream of you.  (ผมฝันถึงคุณเสมอ)
  • Get rid of it. (กำจัดมันซะ)
  • Forget about that right now.  (ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย)
  • There’s nothing to worry about(ไม่มีอะไรต้องกังวล)

ตัวอย่าง เช่น
  • Jim quite agrees with you. (จิมค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณ)
  • He was face to face with me at last. (ในที่สุดเขาก็เผชิญหน้ากับผม)
  • Don’t interfere with her.  (อย่าเข้าไปยุ่งกับเธอ)
  • You must choose between honor and death. (คุณต้องเลือกระหว่างเกียรติยศและความตาม)
  • I believe in the Lord Buddha. (ผมศรัทธาในพระพุทธเจ้า)
  • Paul will succeed in the end. (พอลจะประสบความสำเร็จในที่สุด)
  • You can always count on Tom. (คุณสามารถไว้วางใจทอมได้เสมอ)
  • Jack insists on his innocence.  (แจคยืนกรานในความบริสุทธิ์ของเขา)
  • I can’t comment on this problem. (ผมไม่สามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหานี้)

นี่คือ ตัวอย่างคำกริยา Verbs คู่กับคำบุพบท Prepositions ที่พบและใช้กันบ่อยๆ ซึ่งคำกริยาบางคำสามารถใช้ร่วมกับคำบุพบทได้หลายตัว และคำกริยาบางคำก็ใช้กับคำบุพบทได้เพียงตัวเดียว (คำบุพบทเฉพาะ) เพราะฉะนั้น ก็ต้องพยายามศึกษาเพิ่มเติมจากพจนานุกรม dictionary ซึ่งได้ระบุอธิบายไว้ และพยายามสังเกตจดจำให้ได้ เพื่อที่จะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง







Thursday 28 November 2019

Prepositions of manner คือ..? คำบุพบทบอกลักษณะอาการ ที่ใช้กันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง..?


Prepositionof manner  คำบุพบทบอกลักษณะอาการ คือ คำบุพบทที่ใช้เชื่อมคำหรือวลีในเรื่องเกี่ยวกับการแสดงลักษณะอาการ บ่งบอกผู้กระทำ วิธีกระทำ การแสดงความเป็นเจ้าของ การแสดงวัตถุประสงค์ ความเห็น หรือความสัมพันธ์ 

ทีนี้.. มาดูกันต่อว่า Preposition of manner คำบุพบทบอกลักษณะอาการนั้น มีคำอะไรบ้างที่พบเห็นและใช้กันบ่อยๆ..?  มีวิธีใช้อย่างไร..?


ใช้ ิby ในความหมาย “ โดย ด้วย “ เช่น
  • I go to school by bus. (ผมไปโรงเรียนโดยรถโดยสาร)
  • We can’t go there by car. (เราไปที่นั่นโดยรถยนต์ไม่ได้)
  • He was bitten by a snake. (เขาถูกกัดโดยงู เขาถูกงูกัด)

ใช้ on ในความหมาย “ โดย ด้วย “ เช่น
  • Paul arrived on the island on hovercraft. (พอลมาถึงบนเกาะด้วยเรือเร็ว)
  • I like to travel on train. (ผมชอบเดินทางโดยรถไฟ)

ใช้ with ในความหมาย “ ด้วย กับ “ เช่น
  • We have noodles with chopsticks. (เราทานก๋วยเตี๋ยวด้วยตะเกียบ)
  • She reacted with anger. (เธอตอบโต้ด้วยความโกรธ)

ใช้ in ในความหมาย “ ด้วย ในสภาพ “ เช่น
  • She always speaks in a low voice. (เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำเสมอ)
  • He draws in ink. (เขาวาดด้วยหมึก)

ใช้ like ในความหมาย “ คล้ายกัน เหมือนกัน “ เช่น
  • Many say he laughs like a hyena. (หลายคนพูดว่าเขาหัวเราะเหมือนหมาใน)
  • He walks like a lame one. (เขาเดินคล้ายคนขาเป๋)
  • I love him like my brother. (ผมรักเขาเหมือนน้องชายของผม)

หมายเหตุ like โดยปกติเป็นคำกริยา (verb) แต่ในที่นี้ เรานำมาใช้เป็นคำบุพบท (preposition)

ใช้ as ในความหมาย “ ในตำแหน่ง ในฐานะ (เป็น) เหมือน “ เช่น
  • Jane got a job as an English teacher. (เจนได้งานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ)
  • He’s naked as a jaybird. (เขาล่อนจ้อนเหมือนลูกนก)

ใช้ of ในความหมาย “ ของ แห่ง “ เช่น
  • He’s a friend of mine. (เขาเป็นเพื่อนของผม)
  • This’s a 1994 model of the car. (นี่คือรุ่นของรถยนต์ปี 1994)

ใช้ for ในความหมาย “ ด้วย ให้กับ เพื่อ “ เช่น
  • They divorced for many reasons. (พวกเขาหย่าด้วยเหตุผลหลายประการ)
  • Most of the members voted for him. (สมาชิกส่วนใหญ่ลงคะแนนให้เขา)
  • I’m going out for a walk. (ผมจะออกไป(เพื่อ)เดินเล่น)

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็จะเป็น Prepositions of manner คำบุพบทบอกลักษณะอาการ ที่พบเห็นกันบ่อยๆ  by, on, with, in, like, as, of, for ว่ามีหลักการใช้อย่างไร  คำบางคำสามารถใช้ได้หลายความหมาย ซึ่งเราก็ต้องพยายามจดจำหลักการใช้ ว่าคำบุพบทแต่ละคำนั้น ใช้อย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง






Wednesday 27 November 2019

Prepositions of direction/movement คือ..? คำบุพบทบอกทิศทาง บอกการเคลื่อนไหว มีหลักการใช้อย่างไร..?


Preposition of direction/movement คำบุพบทบอกทิศทางหรือการเคลื่อนไหว ใช้เพื่อบอกทิศทาง รวมทั้งบอกลักษณะอาการเคลื่อนไหวไปยังสถานที่ บริเวณ หรือจุดย่อยของสถานที่ต่างๆ 

ทีนี้.. มาดูกันต่อว่า Preposition of direction/movement คำบุพบทบอกทิศทางหรือการเคลื่อนไหวนั้น มีคำอะไรบ้างที่พบเห็นและใช้กันบ่อยๆ..? มีวิธีการใช้อย่างไร..?

1.  to, from, onto, off, into, out of
  • ใช้ to ในความมหาย ถึง ตรงไปยัง “ ส่วน from จาก มาจาก “ เช่น
    • They walk to school every day. (พวกเขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน)
    • A book dropped from the shelf. (หนังสือหล่นมาจากชั้นวาง)
  • ใช้ onto ในความหมาย “ ไปยัง ไปบน “ ส่วน off  ออกจาก ออกไป “ เช่น
    • A cat jumped onto the sofa. (แมวกระโดดขึ้นไปบนโซฟา)
    • The dog ran off. (สุนัขวิ่งออกไป)
  • ใช้ into ในความหมาย “ เข้าไปใน เข้าไปยัง “  ส่วน out of  “ ออกจาก ออกมาจาก) เช่น
    • A bird flew into the tree.  (นกบินเข้าไปในต้นไม้)
    • She came out of the bathroom. (เธอออกมาจากห้องน้ำ)

2. up, down, round/around  
  • ใช้ up ในความหมาย “ ข้างบน เหนือ “ ส่วน down ข้างล่าง ลงข้างล่าง “ เช่น
    • He walked up the hill.  (เขาเดินขึ้นเนินเขา)
    • She’s walking down the stair. (เธอกำลังเดินลงบันได)
  • ใช้ round/around ในความหมาย “ รอบ รอบๆ “ เช่น
    • A crowd gather around him. (ฝูงชนมารวมตัวรอบๆตัวเขา)
    • Jim’s turning round.  (จิมกำลังหันไปรอบๆ)

3. across, along, past, through
  • ใช้ across ในความหมาย “ ข้ามจากฝากหนึ่งไปอีกฝากหนึ่ง
    • The little girl walked across the road alone.  (เด็กหญิงตัวน้อยเดินข้ามถนนคนเดียว)
    • The main road cut across our land. (ถนนสายหลักตัดผ่านที่ดินของเรา)
  • ใช้ along ในความหมาย “ ตามถนนหรือทาง ขนานไปกับ
    • A car bounced along a bad road. (รถกระเด้งไปตามถนน)
    • An orchestra is marching along the street. (วงดุริยางค์กำลังเดินขบวนไปตามถนน)
  • ใช้ past ในความหมาย “ ผ่านไป เลยผ่าน  ส่วน through  ทะลุออกไป ผ่านไป
    • The old man guided us through the castle.  (ชายชรานำทางเราผ่านประสาท)
    • The walk past the stores every day. (พวกเขาเดินผ่านร้านค้าทุกวัน)

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็จะเป็น prepositions of direction (movement)  คำบุพบทบอกทิศทางหรือการเคลื่อนไหว ที่พบเห็นกันบ่อยๆ


ว่ามีหลักการใช้อย่างไร  ซึ่งเราก็ต้องพยายามจดจำหลักการใช้ ว่าคำบุพบทแต่ละคำนั้น ใช้อย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง








Wednesday 16 October 2019

สรุปหลักการใช้ in on at อย่างเข้าใจง่ายสุด


สืบเนื่องจากบทความที่แล้ว..  in on at เป็นคำบุพบท Prepositions ที่ใช้ทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี เข้ากับคำอื่นๆในประโยค เพื่อบ่งบอกถึงเวลา (Prepositions of time) หรือสถานที่ ตำแหน่ง (Prepositions of place) เพื่อให้ประโยคได้ใจความสละสลวยสมบูรณ์ขึ้น

บทความนี้.. จึงได้สรุปหลักการใช้ in on at ทั้งที่เป็นบุพบทบอกเวลาและบุพบทบอกสถาน ว่าใช้ต่างกันอย่างไร..?  จะได้จดจำได้ง่ายๆขึ้น

ภาพผังสรุปหลักการใช้ in on at


                       Can enlarge the image to read





Tuesday 15 October 2019

in on at บอกเวลาและสถานที่ มีหลักการใช้อย่างไร..?


in on at เป็นคำบุพบท Prepositions ที่ใช้ทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี เข้ากับคำอื่นๆในประโยค เพื่อบ่งบอกถึงเวลา (Prepositions of time) หรือสถานที่ ตำแหน่ง (Prepositions of place) เพื่อให้ประโยคได้ใจความสละสลวยสมบูรณ์ขึ้น

ที่นี้.. มาดูกันว่า in on at ที่เป็นทั้งคำบุพบทบอกเวลาและสถานที่นั้น จะมีวิธีการใช้แตกต่างกันอย่างไร..?

in on at ที่ใช้เป็นคำบุพบทบอกเวลา (Prepositions of time) มีหลักการใช้ ดังนี้

in ใช้กับเวลาโดยทั่วไป เช่น
  • ศตวรรษ > in 1700’s
  • ทศวรรษ > in 70’s
  • ปี > in 2009
  • เดือน > in January
  • สัปดาห์ > in 2 weeks
  • ฤดู > in summer, in hot season
  • ช่วงเวลาของวัน > in the evening
    • I was born in 1979 (ผมเกิดปี พ.ศ.2522)
    • The shop will be closed in April. (ร้านจะปิดในเดือนเมษายน)
    •  It’s very hot in summer. (มันร้อนมากในฤดูร้อน)

on ใช้กับเวลาที่เจาะจงมากขึ้น เช่น
  • วัน > on Monday
  • วันที่ > on 1st
  • วันต่างๆ > on my birthday, on Christmas, on Loy KraTong, on the weekend, on holiday ฯลฯ
    • I won’t go to school on Monday. (ผมจะไม่ไปโรงเรียนวันจันทร์)
    • I’ll go on holiday next week. (ผมจะหยุดพักผ่อนในอาทิตย์หน้า)

at เวลาที่ระบุเฉพาะ เช่น
  • เวลา > at 9 pm., at 10 o’clock
  • สำนวนที่เกี่ยวกับเวลา > at noon, at night, at lunchtime, at the same time ฯลฯ
    • He will meet me at 2 pm. (เขาจะพบฉันตอน 14.00 น.)
    • She always goes to bed at midnight. (เธอมักจะเข้านอนตอนเที่ยงคืนเสมอ)

in on at เมื่อใช้เป็นคำบุพบทบอกสถานที่ (Prepositions of place) มีหลักการใช้ ดังนี้

in ใช้กับสถานที่ที่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ เช่น
  • ทวีป ประเทศ > in Asia, in Thailand
  • รัฐ เมือง จังหวัด อำเภอ ตำบล > in Sydney, in Bangkok, in the city, in BanRai subdistrict
  • บริเวณ สถานที่ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร > in the park, in the hospital, in the sea, in the sky
  • ห้อง ตึก อาคาร บรรจุภัณฑ์ > in the toilet, in the building, in a taxi, in a car, in the bottle
    • Jane lives in London. (เจนอาศัยอยู่ในลอนดอน)
    • I was in the park last night. (เมื่อคืนนี้ผมอยู่ในสวนสาธารณะ)
    • Tom forgot his phone in the taxi. (ทอมลืมโทรศัพท์ในรถแท็กซี่)

on ใช้กับสถานที่ที่เป็นที่แคบลง เช่น
  • ชื่อถนน > on Rama 2 road, on Ratchadamnoen road
  • ชั้นของตึกอาคาร > on the 1st  floor, on the second floor
  • บนสิ่งของ บนพื้นผิว > on the plane, on the table, on the ground, on the bus
    • I got on a wrong bus yesterday. (ฉันขึ้นรถผิดเมื่อวาน)
    • Prem lives on the 4th floor. (เปรมอาศัยอยู่ชั้น 4)
    • The pictures are hung on the wall. (รูปภาพแขวนอยู่บนฝาผนัง)

at ใช้ระบุสถานที่อยู่ สถานที่เฉพาะเจาะจง เช่น
  • ที่อยู่ > at 261 Phet Kasem rd. Bangkhae, Bangkok.
  • สถานที่เฉพาะเจาะจง > at the train station, at the bus stop, at the school office, at work
    • My address at 16 Nakhon Chaisi rd. Dusit, Bangkok.
    • He is at home. (เขาอยู่ที่บ้าน)
    • I waited at the airport for 2 hours. (ผมรอที่สนามบิน 2 ชม.)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็จะเป็นหลักการใช้ in on at ทั้งที่ใช้เป็นคำบุพบทบอกเวลา (Prepositions of time) และคำบุพบทบอกสถานที่ (Prepositions of place)  ซึ่งเราก็ต้องพยายามจดจำหลักการใช้ ว่าแต่ละคำใช้อย่างไร เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

>>.. ภาพผังสรุปการใช้  in on at