Future Perfect Continuous Tense คือ
อนาคตกาลสมบูรณ์แบบกำลังกระทำ ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลาที่ระบุไว้ในอนาคต
โดยมีโครงสร้างของประโยค ดังนี้
จากโครงสร้างของประโยค จะเห็นได้ว่าเป็นการนำโครงสร้างของ 2
Tenses มารวมกัน คือ Future Perfect Tense (
S+will/shall +have+v3) และ Present Continuous Tense
(S+is,am,are+v-ing) มาเชื่อมต่อรวมกันเป็น Future Perfect
Continuous Tense (S+will/shall+have+been+v-ing) โดยเปลี่ยน is,am,are
เป็น been (v3) ตามโครงสร้าง
Perfect Tense
ส่วน Infinitive หรือ Verb1 ในโครงสร้าง Continuous Tense นั้น มีหลักการเติม ing ดังนี้ (อ่านเพิ่มเติม) และมีคำกริยาบางคำที่ไม่สามารถนำมาใช้เติม
ing ในรูปของ Continuous Tense ได้
ซึ่งเราเรียกคำกริยากลุ่มนี้ว่า stative verbs คำกริยาแสดงสภาวะ
(อ่านเพิ่มเติม)
หลักการใช้ Future
Perfect Continuous Tense มีดังนี้
1. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ ได้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลาที่ได้ระบุไว้ในอนาคต เช่น
- By 6 pm., Jim will have been waiting at the train station for 3 hours. (เมื่อถึงเวลา 6 โมงเย็น จิมก็จะรออยู่ที่สถานีรถไฟเป็นเวลา 3 ชม.)
- Jane and Jack will have been living in Bangkok for 6 years by next week. (เจนและจิมจะอาศัยอยู่ในกรุงเทพเป็นเวลา 6 ปี ในสัปดาห์หน้า)
- When I turned 50, I’ll have been teaching English for 25 years. (เมื่อฉันอายุ 50 ปี ฉันจะสอนภาษาอังกฤษเป็นเวลา 25 ปี)
- At 3 pm. tomorrow, I’ll be defensing my thesis for 4 hours. (เวลาบ่าย 3 โมงพรุ่งนี้ ฉันจะสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ของฉันเป็นเวลา 4 ชม.)
- Will you have been studying Thai for 6 months by the end of this month. (คุณจะเรียนภาษาไทยเป็นเวลา 6 เดือนภายในสิ้นเดือนนี้ใช่มั้ย)
เราใช้ประโยค Future
Perfect Continuous Tense นี้ เพื่อที่จะเน้นย้ำการกระทำว่า
ได้กระทำอย่างต่อเนื่อง มาระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลาที่เราได้กำหนดไว้ในอนาคต โดยระบุระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไปจนถึงเวลาที่ได้ระบุไว้ว่าเป็นระยะเวลานานเท่าไร
ส่วนการกระทำนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อไร
ไม่ใช่สาระสำคัญ อาจจะเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ เพราะสาระสำคัญอยู่ที่
การกระทำนั้น ต้องดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่งถึงเวลาที่ได้ระบุไว้ในอนาคต และการกระทำนั้น อาจจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์หรือไม่ก็ได้
เรามักจะใช้คำเหล่านี้
- by the time (ในขณะที่,ตอนที่)
- by this time tomorrow, next Tuesday, next week, next month (เมื่อถึงเวลานี้ในวันพรุ่งนี้, วันอังคารหน้า, สัปดาห์หน้า, เดือนหน้า)
- by next Monday, week, month, year (เมื่อถึงวันจันทร์หน้า, สัปดาห์หน้า, เดือนหน้า,ปีหน้า)
- by this Sunday, March (เมื่อถึงวันเสาร์นี้,เดือนมีนาคมนี้)
- by tomorrow (ในวันพรุ่งนี้)
- by tomorrow morning, afternoon (เมื่อถึงเช้าพรุ่งนี้, บ่ายพรุ่งนี้)
- by midnight, midday (เมื่อถึงเที่ยงคืน, เที่ยงวัน)
- by this Friday, week, month, year (ในวันศุกร์นี้, สัปาดาห์นี้,เดือนนี้,ปีนี้) ประกอบอยู่ในประโยค
2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำ
2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์หนึ่งได้ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
- Cindy’ll have been traveling around the world before she comes to Thailand. (ซินดี้จะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกก่อนเธอมาเมืองไทย)
- We will have been waiting for 30 minutes before Jason arrives. (เราจะรอเป็นเวลา 30 นาทีก่อนเจสันมาถึง)
- When I leave the beach, I’ll have been sunbathing for 2 hours. (เมื่อฉันออกจากชายหาด ฉันจะอาบแดดเป็นเวลา 2 ชม.)
- By the time Paul goes home, he’ll have been living in Turkey for 9 months. (ตอนที่พอลกลับบ้าน เขาจะอยู่ที่ตรุกีเป็นเวลา 9 เดือน)
- Before they come, we’ll have been cleaning the house for 3 hours. (ก่อนพวกเขามา เราจะทำความสะอาดบ้านเป็นเวลา 3 ชม.)
จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนซึ่งกำลังดำเนินอยู่ เราใช้ Future Perfect Continuous Tense ส่วนอีกเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นทีหลัง เราใช้ Present simple Tense โดยการกระทำในเหตุการณ์แรกนั้น อาจจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์หรือไม่ก็ได้ แต่การกระทำในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังนั้น จะเสร็จสิ้นเสมอ
ในกรณีนี้ เรามักจะใช้ before (ก่อน) when (เมื่อ, ตอนที่) มาเป็นคำเชื่อมประโยค โดย
- ประโยคที่อยู่หลัง when, before เราใช้ Present Simple Tense
เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เราใช้ Present Simple Tense ร่วมกับ Future
Perfect Continuous Tense นอกจากนี้เรายังใช้คู่กับ
Future Perfect Tense และ Future Continuous Tense อีกด้วย โดย Present Simple Tense นี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังเสมอ