Future Perfect Tense คือ
อนาคตกาลสมบูรณ์แบบ ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในอนาคต
โดยมีโครงสร้างประโยค ดังนี้
จากโครงสร้างของประโยค
จะเห็นได้ว่าเป็นการนำโครงสร้างของ 2 Tenses มารวมกัน
คือ Future Simple Tense ( S+will+v1) และ Present Perfect Tense (S+have/has+v3) มาเชื่อมต่อรวมกันเป็น Future
Perfect Tense (S+will+have+v3) โดยเราใช้ have กับประธานทุกตัว
ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เนื่องจากตามหลัง will
ซึ่งเป็นกริยาช่วย (Auxiliary or helping verbs) ที่มีหลักว่ากริยาที่ตามหลังจะต้องเป็นรูปธรรมดา (infinitive) ที่ไม่ผันเปลี่ยนรูปตามประธาน นั่นก็คือ have ซึ่ง have ก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยเช่นเดียวกัน และไม่ต้องแปลความหมายในประโยค
ส่วน verb3 (Past
Participle) นั้น มีหลักการเปลี่ยนคำกริยาเช่นเดียวกันกับการเปลี่ยนคำกริยา
verb2 (Simple Past) เป็น Past Tense
หลักการใช้ Future Perfect Tense มีดังนี้
1. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
- By this time next week, Paul will have worked on his project for 11 months. (เมื่อถึงเวลานี้ในสัปดาห์หน้า พอลจะทำงานในโครงการของเขาเป็นเวลา 11 เดือน)
- She’ll have started a new job by next Monday. (เธอจะเริ่มงานใหม่ภายในวันจันทร์หน้า)
- At 4 o’clock, I’ll have been in this office for 24 hours. (เมื่อถึงบ่าย 4 โมง ผมจะอยู่ที่สำนักงานนี้เป็นเวลา 24 ชม.)
- By the time I’m 55, I’ll have retired. (ตอนที่ฉันอายุ 55 ปี ฉันจะเกษียณ)
- By 11 o’clock, I’ll have finished my company financial report. (เมื่อถึงเวลา 11 โมง ผมจะทำรายงานทางการเงินของบริษัทเสร็จ)
- He’ll not have completed his research by this Friday. (เขาจะทำงานวิจัยไม่เสร็จในวันศุกร์นี้)
- Will she have saved enough money to study abroad next year? (เธอจะเก็บเงินได้มากพอที่จะเรียนต่อต่างประเทศในปีหน้ามั้ย)
- Won’t you have sent the document by Wednesday? (คุณจะไม่ส่งเอกสารในวันพุธหรือ)
จะเห็นได้ว่า เราใช้ประโยค Future
Perfect Tense นี้ เพื่อที่จะบ่งบอกถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในอนาคต กล่าวคือ เรากำลังคาดการณ์ถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นแล้วและจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
เรามักจะใช้คำเหล่านี้
- by the time (ในขณะที่,ตอนที่)
- by this time tomorrow, next Tuesday, next week, next month (เมื่อถึงเวลานี้ในวันพรุ่งนี้, วันอังคารหน้า, สัปดาห์หน้า, เดือนหน้า)
- by next Monday, week, month, year (เมื่อถึงวันจันทร์หน้า, สัปดาห์หน้า, เดือนหน้า,ปีหน้า)
- by this Sunday, March (เมื่อถึงวันเสาร์นี้,เดือนมีนาคมนี้)
- by tomorrow (ในวันพรุ่งนี้)
- by tomorrow morning, afternoon (เมื่อถึงเช้าพรุ่งนี้, บ่ายพรุ่งนี้)
- by midnight, midday (เมื่อถึงเที่ยงคืน, เที่ยงวัน)
- by this Friday, week, month, year (ในวันศุกร์นี้, สัปดาห์นี้,เดือนนี้,ปีนี้) ประกอบอยู่ในประโยค
2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำ
2 เหตุการณ์ที่จะเสร็จสิ้นในอนาคต
- Before she sees her publisher, Jean will have finished her new novel. (ก่อนที่เธอไปพบผู้จัดพิมพ์ เจนคงจะเขียนนิยายใหม่เสร็จแล้ว)
- When we get married, I’ll have known Robert for 5 years. (เมื่อเราแต่งงาน ฉันจะรู้จักโรเบิร์ตเป็นเวลา 5 ปี)
- We will not have eaten breakfast before we get to the airport tomorrow morning. (เราจะไม่กินอาหารเช้าก่อนเราไปถึงสนามบินพรุ่งนี้เช้า)
- Will they have finished decorating the float before the parade starts? (พวกเขาจะตกแต่งขบวนรถแห่เสร็จก่อนขบวนพาเหรดเริ่มมั้ย)
- When I get to the airport, the plane will have taken off. (เมื่อฉันไปถึงสนามบิน เครื่องบินคงจะบินขึ้นแล้ว)
จะเห็นได้ว่า
เหตุการณ์หรือการกระทำที่เสร็จสิ้นก่อน เราใช้ Future
Perfect Tense ส่วนอีกเหตุการณ์หรือการกระทำที่เสร็จสิ้นทีหลัง
เราใช้ Present Simple Tense
ในกรณีนี้ เรามักจะใช้ before
(ก่อน) when (เมื่อ, ตอนที่) มาเป็นคำเชื่อมประโยค โดย
- ประโยคที่อยู่หลัง when, before เราใช้ Present Simple Tense
ข้อสังเกต จากตัวอย่าง Future
Perfect Tense เราจะเห็นได้ว่า เมื่อถึงช่วงเวลาที่เราได้กำหนดไว้ในอนาคต
เราก็จะเห็นเหตุการณ์นั้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์