Total Pageviews

Sponsored Ads

Tuesday, 16 October 2018

อธิบาย หลักการใช้ Present Perfect Tense อย่างละเอียด เข้าใจง่าย



Present Perfect Tense  คือ ปัจจุบันกาลแบบสมบูรณ์  ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต  และส่งผลหรือดำเนินมาถึงปัจจุบัน และอาจมีผลหรือดำเนินต่อไปในอนาคต โดยมีโครงสร้างของประโยค ดังนี้


Have ใช้กับประธานพหูพจน์  (They have, We’ve, I have, you’ve)
Has ใช้กับประธานเอกพจน์  (She has, It’s, Jim has)

หมายเหตุ   have/has ตามโครงสร้าง Present Perfect Tense นี้ ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย (Auxiliary or helping verbs) ของประโยค ซึ่งไม่ต้องแปลความหมาย  ส่วน verb3 (Past Participle) นั้น มีหลักการเปลี่ยนคำกริยาเช่นเดียวกันกับการเปลี่ยนคำกริยา verb2 (Simple Past) เป็น Past Tense 

ตัวอย่างประโยคตามโครงสร้าง
ประโยคบอกเล่า   She has studied very hard. (เธอเรียนหนักมาก)
ประโยคคำถาม    Has she studied very hard?
ประโยคปฏิเสธ     She has not studied very hard. 


หลักการใช้ Present Perfect Tense มีดังนี้

1. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และการกระทำหรือเหตุการณ์นั้น ได้ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และอาจจะดำเนินต่อเนื่องไปในอนาคต เช่น
  • She has worked in the bank for seven years.  (เธอทำงานที่ธนาคารมาเป็นเวลา 7 ปี) กล่าวคือ เธอได้ทำงานที่ธนาคารมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวมเป็นเวลา 7 ปี และก็จะทำงานที่ธนาคารต่อไปในอนาคต
  • They haven’t lived in Thailand since they were young. (พวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เด็ก)
  • Jane’s studied Thai for 2 years. (เจนเรียนภาษาไทยมาเป็นเวลา 2 ปี)
  • The workers have built our house for 9 months. (คนงานสร้างบ้างของเรามาเป็นเวลา 9 เดือน)
  • I’ve owned this car since 2007. (ผมเป็นเจ้าของรถคันนี้มาตั้งแต่ปี 2007)
  • Paul hasn’t worked on Friday since he joined the company. (พอลไม่ได้ทำงานในวันศุกร์ตั้งแต่เขาเข้าร่วมงานกับบริษัท)

ข้อสังเกต  เรามักจะใช้ 
  • since (ตั้งแต่) เมื่อไหร่ เวลาไหน วันไหน สัปดาห์ไหน เดือนไหน ปีไหน คือเป็นจุดหนึ่งของเวลา
  •  for (เป็นเวลา)  กี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือน กี่ปี คือตามด้วยช่วงเวลา   ประกอบอยู่ในประโยคด้วยเสมอ

2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และเพิ่งจะสิ้นสุดลง และอาจจะส่งผลมาถึงปัจจุบัน เช่น
  • Paul has just received your letter.  (พอลเพิ่งจะได้รับจดหมายของคุณ)
  • I’ve just finished the report. (ผมเพิ่งจะทำรายงานเสร็จ)
  • She’s just bought a new car. (เธอเพิ่งจะซื้อรถคันใหม่)
  • Grandma has already had breakfast. (คุณยายทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว) คุณยายทานมื้อเช้าแล้ว แต่อาจจะส่งผลมาถึงปัจจุบัน คือ คุณยายอาจจะยังรู้สึกอิ่มอยู่
  • Jane’s just gone to supermarket. (เจนเพิ่งจะออกไปซุปเปอร์มาร์เกต) เจนได้ออกไปซุปเปอร์มาร์เกตแล้ว ส่งผลมาถึงปัจจุบัน ก็คือยังไม่กลับมา
  • Has Jim found his car key yet? (จิมพบกุญแจรถของเขาแล้วยัง) จิมได้ทำกุญแจรถหาย และส่งผลมาถึงปัจจุบัน ว่าเขาอาจจะพบหรือไม่พบกุญแจที่หาย

3. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งเป็นประสบการณ์ของเรา 
  • I have been to Sydney many times. (ฉันเคยไปซิดนีย์หลายครั้ง)
  • I’ve never been to America yet. (ฉันยังไม่เคยไปอเมริกา)
  • Have you ever seen ghosts? (คุณเคยเห็นผีมั้ย)
  • Jane has run the Bangkok marathon. (เจนเคยวิ่งกรุงเทพมาราธอน)
  • Jim has never eaten a sushi. (จิมไม่เคยกินซูชิ)
  • Those kids haven’t ever played football. (เด็กเหล่านั้นไม่เคยเล่นฟุตบอล)

ข้อสังเกต  นอกจากคำว่า since และ for แล้ว เรายังเห็นคำเหล่านี้ในประโยค Present Perfect Tense อีกด้วย 
ซึ่งจะอยู่ระหว่าง have/has กับ v3 ยกเว้น yet ที่อยู่ท้ายประโยค

จะเห็นได้ว่า  เราใช้ Present Perfect Tense  เพื่อเชื่อมโยงอดีตเข้ากับปัจจุบัน กล่าวคือ เหตุการณ์หรือการกระทำนั้นได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต และได้เสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ผลของการกระทำนั้นได้เชื่อมโยงมาถึงปัจจุบัน คือยังเห็นผลของการกระทำนั้นได้ในปัจจุบัน  และการกระทำนั้นก็อาจจะส่งผลต่อไปในอนาคตด้วยก็ได้  โดยการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น เราไม่ได้ระบุเวลาไว้อย่างชัดเจน ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งเวลาไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สาระสำคัญอยู่ที่ผลลัพธ์ของการกระทำที่เชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันนั่นเอง..